การเดินทางฉบับธรรมดา แต่ความทรงจำเต็มเปี่ยม ที่กาญจนบุรี

ในการเดินทางแต่ละครั้ง ย่อมมีความทรงจำเสมอ ที่ผ่านๆ มา ผมเดินทางคนเดียวค่อนข้างบ่อย และอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพมหานคร แต่ครั้งนี้ผมได้มีเพื่อนร่วมทางรวม 10 คน แต่ที่จริงแล้วที่นัดกันไปมีอยู่ 9 คน แต่สุดท้ายคนขับรถก็กลายเป็นเพื่อนร่วมทางโดยปริยาย

ที่จริงแล้วทริปนี้เราหากว่าจะหาจุดลงตัวค่อนข้างนาน ทั้งเรื่องที่พัก เพราะเราได้จองตรงกับวันหยุดยาวพอดี ซึ่งเป้าหมายเราก็คือ จังหวัดกาญจนบุรี


ผมขอไม่พูดถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พัก เพราะเราอาจจะไม่ได้รีวิวแบบ low cost เหมือนตามที่เว็บบอร์ดต่างๆ ได้รีวิว และอาจจะไม่ได้มีภาพที่สวยงาม เพราะทุกภาพของผมเกิดจากความทรงจำที่ได้เคยสัมผัสไปยังที่ต่างๆ ล้วนๆ


วันแรก


เป้าหมายวันแรกของเราก็คือที่อำเภอสังขละบุรี อย่างที่ทราบกันดี อำเภอสังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดกับชายแดนพม่า เมื่อเรามาถึงก็ได้เก็บของเข้าที่พัก และได้เดินทางไปยังเป้าหมายแรก นั่นคือด่านเจดีย์สามองค์ ผมขอไม่เล่าถึงประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน อย่างที่รู้ๆกัน สมัยเรียนนั้น วิชานี้ทำให้เด็กกลางห้อง หรือ หลังห้อง ง่วงนอนอย่างมาก 




ในบริเวณนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างชายแดนไทยกับพม่า ที่เดินทางข้ามฟากไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือถ้าหากใครไม่อยากข้ามไปก็จะมีตลาดให้ช็อปปิ้ง สินค้าประเภท เครื่องเงิน และไม้ แต่น่าเสียดาย ลืมถ่ายรูป บรรยากาศในตลาดสะงั้น 555



ขากลับจากที่พักเราได้แวะกับน้ำตกซองกาเลีย ซึ่งจุดๆ นี้ เราสามารถนั่งบนแพ กันได้ฟรีๆ ส่วนอาหารนั้นเราสามารถสั่งได้ตามใจชอบ แถมราคาไม่แพง เมื่อเราสั่งอาหารแล้ว หรือใครไปแล้วยังไม่ได้สั่งอาหาร ก็สามารถกระโดดลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ ขอบอกเลยว่าน้ำเย็นสดชื่นคลายร้อนได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว


หลังจากการเล่นน้ำ พวกเราก็ได้กลับเข้าที่พัก และนัดหมายกันไปเดินสะพานมอญในช่วงเย็น บรรยากาศในสะพานก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด ภาพต่างๆ ได้เห็นภาพประทับใจหลายอย่างเช่น เด็กที่มารอปะแป้ง โดยเราจะให้เงินแก่น้องๆ เท่าไรก็ได้ตามสะดวก ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สดสองกระทบผิวน้ำให้เห็นภาพงดงาม


ในช่วงการเดินข้ามสะพานมอญอีกฟากจะเป็นแหล่งของซื้อของฝาก เช่น ชุดชาวมอญ เครื่องประดับต่างๆ เลือกหาซื้อได้ตามสะดวก


หลังจากที่เหนื่อยจากการเดินสะพานมอญ เป้าหมายต่อไปก็คือการหาของกิน ซึ่งเราก็ได้เดินทางไปยังถนนคนเดินของเมืองสังขละบุรี ซึ่งไฮไลด์ของกินก็คือหมูจุ่มพม่า อธิบายง่ายๆ คือ จะนำส่วนต่างๆของหมู เช่น เนื้อ ปอด ใส้ ตับ มาจุ่มในน้ำที่ลักษณะคล้ายน้ำหมูแดงในบ้านของเรานั่นเอง ราคาก็ไม่แพงไม้ละ 1 บาทเท่านั้น

เมื่อเราจัดการกับของกินเรียบร้อยแล้ว ก็กลับที่พักสู่โหมดพักผ่อนเก็บแรงสู่การเดินทางในวันต่อไป

วันที่สอง


รุ่งเช้าเราได้ทำบุญตักบาตรตามวิถีชาวมอญ ซึ่งจะแตกต่างกับของไทยไม่มาก เราสามารถเลือกได้ชุดละ 100 บาท โดยชุดหนึ่งประกอบด้วยข้าว กับข้าว ดอกไม้ ในชุดๆหนึ่งสามารถแยกใส่ได้หลายรูป หรือถ้าหากใครไม่สะดวกสามารถซื้อช่อดอกพุทธ ตักบาตรแทนได้ เพียงกำละ 10 บาทเท่านั้น


หลังจากที่ตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ยามเช้าอาหารเด็ดที่ใครมาต้องแวะชิมก็คือ โจ๊ก อันที่จริงก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าร้านไหนอร่อยที่สุด เราจึงเลือกสุ่มร้านกันโดยแบบไม่มีข้อมูล และก็ได้ชิมโจ๊กอร่อยสีสันน่ารับประทาน


ในช่วงที่จะเดินทางไปยังจุดต่อไปก็ได้พบกับ คนโดดน้ำ ต้องนับถือใจเขาจริงๆ ที่โดดลง  ปืนขึ้น เพื่อหาเงินไปบริจากช่วยเด็กๆ 





แพลนต่อไปก็คือการเดินทางนั่งเรือไปชมวัดต่างๆ ค่าบริการแต่ละลำก็แตกต่างกันออกไป วัดแรกที่เราได้นั่งเรือไปถึงก็คือ วัดใต้น้ำ เราจะเข้าชมได้ในเฉพาะช่วงที่น้ำลงเท่านั้น  เมื่อมาถึงเราจะพบกับไกด์ตัวน้อยๆ ที่แนะนำจุดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ




วัดที่สองเป็นวัดสมเด็จ ซึ่งเป็นวัดที่สร้างอยู่บนเนินเขา มีอุโบสถ ท่ามกลางหมู่ต้นไทรใหญ่ ภายในอุโบสถมีพระประธาน ที่ดูโดดเด่นง่า ให้ผู้คนได้สักการะ กราบไหว้ ขอพร

หลังจากที่เดินทางล่องเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้จัดของและออกจากที่พักเพื่ออกเดินทางไปยังจุดถัดไป




เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ ช่องเขาขาด ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ โดยช่องเขาขาดนี้ จะใช้แรงงานคนในการสกัด จนเกิดช่องเขานี้ขึ้นมา และได้มีการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก




จากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยัง น้ำตกไทรโยคน้อย เมื่อเราได้เดินทางมาถึงก็พบกับภาพที่น่าตกใจก็คือ น้ำตกที่แห้ง มีเพียงน้ำก้นบ่อ และ น้ำหยดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เรารู้เลยว่าอากาศร้อนจนแห้ง เข้าขั้นวิกฤตจริงๆ

และการเดินทางในวันที่สองก็ได้สิ้นสุดลงที่น้ำตกไทรโยคน้อย เก็บของเข้าที่พัก เพื่อเดินทางไปยัง ถ้ำกระแซ ในวันถัดไป

วันที่สาม




รุ่งเช้าได้ออกเดินทางไปยังถ้ำกระแซ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก โดยการเดินทางเราจะจอดรถตรงสถานีรถไฟถ้ำกระแซ สามารถเดินเท้าได้สองเส้นทาง สำหรับคนที่ชอบความท้าทายสามารถเดินบนทางรถไฟ ( แต่ทั้งนี้ให้ตรวจสอบเวลารถไฟมาด้วย มิฉะนั้นอาจจะได้เล่นฉากแอ็กชั่น วิ่งหนีรถไฟ ก็เป็นได้ หึหึ ) หรือใครที่กลัวความสูงก็สามารถเดินด้านล่างได้แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวรถไฟและความสูง


และแล้วเราก็ได้เดินมาถึงถ้ำกระแซ หลังจากที่ท้าทายด้วยการเดินบนทางรถไฟ สิ่งที่เราได้เห็นก็คือพระพุทธรุปองค์ใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ โดยเป็นที่เคารพของชาวบ้านในพื้นที่ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมายังจังหวัดกาญจนบุรี




จากนั้นเราก็ได้นั่งรถไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแลนด์มาร์คประจำจังหวัดกาญจนบุรีเลยก็ว่าได้ 






จุดสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางไปยังวัดถ้ำเสือ ที่สร้างอยู่บนยอดเขา โดยสามารถขึ้นได้สองวิธีใครที่มีแรงก็สามารถเดินขึ้นบันได หรือ ใครที่ไม่อยากเดินก็สามารถขึ้นกระเช้าได้ในราคา 10 บาทสำหรับคนไทย ต่างชาติก็ 20 บาท เมื่อขึ้นมาถึงก็ได้พบกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่งดงาม พร้อมบรรยากาศบนยอดเขาเห็นวิวได้โดยรอบ

ในช่วงระยะเวลา 3 วัน 2 คืน กับผู้ร่วมเดินทางรวม 10 คน แม้ว่าอากาศจะร้อน ก็ยังได้ทั้งการพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ อาหารที่ไม่เคยกิน  ความสนุก เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ตลอดการเดินทาง และหวังว่าทริปต่อไปคงเกิดขึ้นเร็วๆ อาจจะเป็นวันเดียว หรือหลายวัน คงได้มาเขียนเรื่องราวเล็กๆ ในบล็อกนี้อย่างแน่นอน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น