Let's Go ครั้งหนึ่งกับการพิชิตภูกระดึง

ผมเป็นคนหนึ่งนะครับที่ชอบการท่องเที่ยวมาก ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เที่ยวบ่อยๆ มักจะวนเวียนอยู่แต่ในกรุงเทพ ครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางเที่ยวต่างจังหวัดไกลที่สุด เท่าที่เคยเที่ยวมา ( นับตั้งแต่ก่อนที่ได้เขียนบทความนี้ )  นั้นก็คือที่ภูกระดึงนั้นเอง


โดยภูกระดึงนั้น จะอยู่ที่จังหวัดเลยนะครับ โดยจากกรุงเทพไปยังจังหวัดเลยต้องผ่านหลายจังหวัด และใช้เวลาเดินทางอยู่หลายชั่วโมงเลยทีเดียว

เรื่องของเรื่องที่ได้ไปที่ภูกระดึง คือมีน้องๆ ที่รู้จักกันได้ชวนไปเที่ยวและด้วยความที่ว่าผมเคยได้ยินคำพูดที่เขาพูดกันว่า " ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องพิชิตภูกระดึง " เอาละไหนๆ ก็ไม่เคยไปแล้ว และอยากจะเที่ยวช่วงปลายปีพอดี ผมจึงตอบตกลงทันที โดยการไปภูกระดึงครั้งนี้เราจะไปกัน 3 วัน 2 คืน



จึงได้ทำการจองตั๋ว โดยใช้บริการของ ภูกระดึงทัวร์ ซึ่งได้เดินทางช่วงวันศุกร์ เวลาประมาณสามทุ่ม โดยเราจะไม่ได้ลงที่ปลายทาง แต่จะลงที่ ผานกเค้า หรือ ร้านเจ๊กิม ซึ่งเราจะถึงเวลาประมาณตีห้าครึ่ง เรียกได้ว่านอนในรถรอได้เลย



--- DAY 1 ---

เมื่อถึงร้านเจ๊กิมเราจะว่าแวะทานข้าว เข้าห้องน้ำ หรือ นอนพักพ่อน ก่อนก็ได้เพราะสามารถพักได้ทั้งที่หน้าร้านและด้านหลังของร้าน หรือใครที่ใจร้อนก็ไปรอขึ้นรถสองแถว เตรียมตัวไปภูกระดึงได้เลย ซึ่งก็จะคิดคนละ 30 บาทเท่านั้น


เมื่อมาถึงเราก็ไปซื้อบัตรเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท และคนที่นำเต้นท์มาหรือจะเช่าเต้นท์กับทางอุทยานก็ต้องวางแผนกับกลุ่มเพื่อนดีๆ ว่าใครทำหน้าที่อะไร เพราะแต่ละแถวจะยาวมาก หรือถ้าเราไปไม่ทันเต้นท์ทางอุทยานข้างบนก็จะมีเต้นท์ของเอกชนให้เช่า

และถ้าใครจะจ้างลูกหาบก็ให้ทำการซื้อแท็กติดกระเป๋าใบละ 5 บาท และนำไปชั่งกิโลละสามสิบบาท แล้วขึ้นไปรอรับที่ด้านบนตอนช่วงเย็นๆ ได้เลย

และแล้วเราก็เริ่มการพจญภัยพิชิตภูกระดึงได้เลย!!

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)

โดยจะแบ่งเป็น "ซำ" ให้เราได้นั่งพักกัน ซึ่งจะมีซำที่เป็นจุดทานอาหารด้วยกัน ทั้งหมด 4 จุด ได้แก่ ซำแฮก, ซำกกกอก, พร่าพรานแป และ ซำกกโดน


( ภาพจาก http://travel.sanook.com/)

แต่ต้องขอบอกเลยว่า ถ้ายิ่งสูงอาหารจะยิ่งแพง โดยเฉพาะจุดที่เราพักกางเต้นท์



สำหรับระยะทางในการขึ้นเขาจะประมาณ 5 กิโลเมตร ถ้าหากเราเดินบนทางราบปกตินั้นจะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่นี่ทั้งชันและเป็นทางโขดหิน ทำให้ยากลำบากต่อการเดิน แนะนำว่าควรหารองเท้าผ้าใบที่หลวมเล็กน้อย พื้นรองเท้าที่ยึดเกาะได้ดี และถ้ามีไม้เท้าช่วยจะช่วยให้การเดินทางง่ายขึ้น

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)


เมื่อมาถึงจุดพักที่เรียกว่า "ซำแฮก" สมกับชื่อจริงๆ เลยครับ แค่ซำแรกก็ แฮกๆๆๆ กันสะแล้ว แต่ไม่เป็นไรยังพอไปต่อ



เดินต่อไปเรื่อยๆ ช่วงระหว่างทางก็จะได้พบกำลูกหาบที่แบกของไปมา ถ้าเกิดพบเจอพวกเขาก็ช่วยหลบทางนะครับ จะช่วยให้เขาเดินได้สะดวก ส่งของไปถึงที่หมายได้อย่างสบายๆ





เราก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนถึงซำสุดท้ายที่เรียกว่า "ซำกกโดน" ขอบอกเลยว่าถ้ามาถึงแล้วทานอาหาร ดื่มน้ำให้เรียบร้อยละครับ เพราะจากนี้ไปถึงที่พักของเราจะไม่มีของขาย ยังต้องเดินทางอีกไกล และทางจะโหดกว่าที่ผ่านๆมา


และแล้วเราก็มาถึงจุดยอดเขาที่เรียกว่า "หลังแป" พร้อมกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง"

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)

ณ จุดๆนี้ ขอบอกเลยครับอากาศดีลมเย็นสบายมากๆ เลย

อย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะเราต้องเดินต่ออีกประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อไปยังถึงที่พัก แต่การเดินเส้นทางนี้สบายหน่อยเพราะเป็นทางเรียบไม่ต้องปีนขึ้นเขาแล้ว แต่ที่โหดคืออากาศร้อนมากๆ อย่างน้อยระหว่างทางก็มีต้น สนสองใบ สนสามใบ ให้ชื่นชมตลอดทาง




และแล้วมาถึงที่พักสิ่งแรกคือ เราต้องมาแจ้งกับทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสะก่อน หรือใครต้องการที่จะเช่า ที่นอน หมอน ที่รองนอนก็จะมีบริการให้ พร้อมที่จะเข้าสู่เต้นท์ของเราได้แล้ว เย้!!



ขอบอกเลยครับวันแรกก็มาถึงที่พักประมาณบ่ายสองสะแล้ว จากที่เราขึ้นเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า เมื่อยสุดๆ การเดินทางวันแรกคงพักไว้เท่านี้ จากนั้นเราก็ทำภารกิจเข่น กินข้าว อาบน้ำ อ่อ..ขอบอกเลยครับน้ำที่นี่เย็นมาก ถ้าเป็นไปได้ควรอาบก่อน 6 โมงเย็นจะดีที่สุด

อย่างที่บอกครับอาหารในบริเวณนี้จะราคาสูงไปหมด แต่ถ้าใครมีอาหารส่วนตัวมาก็จะเซฟค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย


สำหรับมื้อเย็นวันแรก ก็คือ หมูกระทะ ร้อนๆ ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีราคาและปริมาณที่แตกต่างกันออกไปก็เลือกๆกันดูนะครับ....

---- DAY 2 ----

หลังจากที่พักขามาหนึ่งคืนแล้ว วันนี้ละที่เราจะลุยเดินทางไกลกัน โดยมีความตั้งใจว่าจะเดินไปยังที่หมายต่างๆ ให้มากที่สุด โดยเราวางแผนกันว่าจะใช้เส้นทางน้ำตกกันก่อน เพราะทางเจ้าหน้าที่จะปิดไม่ให้คนเข้าหลังจากบ่ายสามโมงเย็น ไปสิ้นสุดที่ผาหล่มสัก และเดินทางกลับตามแนวผาต่างๆ

(ภาพจาก www.sabuy.com )

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)


เมื่อออกเดินทาง สิ่งแรกที่ควรเริ่มก่อนการเดินทางทุกครั้ง ควรที่จะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สะก่อนนั่นคือ "พระพุทธเมตตา" โดยพระพุทธรูปองค์นี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ.2463 เลยทีเดียว และสังเกตุได้ว่าบริเวณโดยรอบจะมีผู้คนนำกระดิ่ง ระฆัง มาผูกไว้อยู่เป็นจำนวนมาก





จากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยังที่หมายแรกคือ "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" ใช้ระยะทางประมาณสองกิโลเมตร ทางที่เราเดินนั้นก็จะเป็นป่าสนทั้งหมด และมีโขดหินอยู่ตลอดเส้นทาง สามารถแวะถ่ายรูปวิวได้อย่างสวยงาม

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)




และแล้วเราก็มาถึงน้ำตกน้ำตกเพ็ญพบใหม่ แต่ช่วงที่เรามานั้นเป็นฤดูหนาว (  แบบไม่ค่อยจะหนาวสะเท่าไหร่ ) ทำให้มีปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมาสายน้ำเย็นๆ ให้เราได้ชื่นชม พร้อมต้นเมเปิ้ลเดี่ยวๆ ที่อยู่ด้านบน ให้ถ่ายรูปกันได้อย่างชื่นใจ

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)


โดยเราสามารถถ่ายรูปได้ทั้งด้านล่างและด้านบนของน้ำตก เพื่อเก็บภาพต่างๆได้อย่างเต็มที่


จากนั้นเส้นทางต่อไปที่ใครได้มาภูกระดึงแล้ว ถ้าไม่ได้มาก็ถือว่ามาไม่ถึง ก็คือ "น้ำตกถ้ำใหญ่" ซึ่งเราต้องผ่านเส้นทาง น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ เดินขึ้นเนินเขา เพื่อไปยังน้ำตกถ้ำใหญ่

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)


ซึ่งในบางช่วงเราสามารถเดินผ่านน้ำตกได้ทันที เพราะปริมาณน้ำน้อย แต่ก็ต้องเชคดูดีดีนะครับว่า มีทางขึ้นไปหรือไม่ เพราะเดี่ยวจะเดินย้อนกลับกันอีกไกล จะพากันเมื่อยขากันได้นะครับ 555 ทางที่ดีเดินทางเส้นทางที่ป้ายบอกจะดีที่สุดครับ

และแล้วเราก็มาถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ ที่ถูกโปรยด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงที่ร่วงโรยอยู่แทบทุกพื้นที่ มีความงดงามเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมาในช่วงที่มีน้ำน้อย แต่ก็สามารถเก็บภาพประทับใจได้อย่างทุกมุม





สายน้ำที่ไหลผ่านมีความชื่นใจ ทำให้บรรยากาศโดยรอบชุ่มช่ำ ทำให้อยากอยู่ ณ ที่นี่นานๆ

เมื่อเราอยู่ที่น้ำตกถ้ำใหญ่ได้สักพัก เส้นทางต่อไปนั้นคือ ผาหล่มสัก ซึ่งก็ต้องเดินต่อเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร

แต่ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าใครที่จะตัดสิ้นใจใช้เส้นทางนี้ ตลอดทางจะไม่มีร้านขายของ แต่ถ้าใครใช้เส้นทางตามหน้าผาจะมีร้านขายของอยู่ทุกๆจุด

สำหรับเส้นทางนี้เส้นทางเดินจะมีทั้ง เนินสูง ทางลาดชัน แต่ก็ยังถือว่าเดินสะดวกครับ ไม่เหมือนกับทางที่ขึ้นเขาในตอนแรก ในเส้นทางนี้ก็จะพบกับ สระอโนดาด น้ำตกสอเหนือ ไปสิ้นสุดที่เส้นทาง ผาหล่มสักครับ

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)

(ภาพจากน้อง Bee Noppamas)


เราถึงที่ผาหล่มสักประมาณ 4 โมงเย็น มีคนมารอต่อคิวเพื่อถ่ายรูปคู่กับหน้าผากันมากมายเลยทีเดียว ถ้าใครมีกล้องดีดีสักตัว สามารถซูมถ่ายให้เห็นโขดหินพร้อมใบหน้าสวยๆ หล่อๆ กันได้อย่างชัดเจน




นอกจากนี้บริเวณผาหล่มสักยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆ งามๆ อยู่หลายจุด และมีร้านค้าขายอาหาร ของที่ระลึก ให้เลือกซื้อกัน

อ่อ..ใครที่สะดวกมาผาหล่มสัก แบบขี้เกียจเดินที่นี่ก็มีจักรยานให้เช่าด้วยนะครับ แต่การปั่นจักรยานจะจำกัดแค่บางพื้นที่เท่านั้น

เนื่องจากผมได้คุยกับน้องๆ ที่มาด้วยกันว่าจะไม่รอถึงพระอาทิตย์ตก เพราะจะทำให้กลับถึงที่พักมืด จึงตัดสินใจที่จะหลับกันก่อน เพราะต้องเดินกลับอีก 9 กิโลเมตร




ในช่วงระหว่างทางก็ได้แวะถ่ายรูปตามเส้นทางต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วแสงแดดก็สาดส่องจนฟ้ามืด จนต้องหยิบไฟฉายออกมา ซึ่งในช่วงระหว่างทางก็ได้พบกับผู้ร่วมทางคนอื่นๆ จึงชวนกลับกันเป็นหมู่คณะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกัน แต่ก็เดินไปด้วยกันด้วยความสนุกสนานและสบายใจ




สุดท้ายเราก็ถึงที่พักประมาณ 1 ทุ่มกว่า และพจญกับการอาบน้ำที่แสนเย็นตัวตัวสั่นตามๆ กันไป

และแล้ววันนี้ก็ได้เวลาพักผ่อน พร้อมที่จะรอรับแสงแดดยามเช้าที่ผานกแอ่น

---- DAY 3 ----

สำหรับคนที่จะไปผานกแอ่นเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น จำเป็นต้อรอไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของทางอุทยานในเวลาตี 5 นะครับ เพราะถ้าเกิดไปเองอาจจะมีฝูงช้างป่ามาออกหากินในบริเวณนั้นและทำให้เกิดอันตรายได้

เมื่อถึงเวลาก็เตรียมไฟฉายให้พร้อม เพราะเส้นทางก็ยังคงมืดอยู่ ผมกับน้องๆ ก็เดินไปพร้อมกัน เมื่อถึงผานกแอ่นเราก็จะสังเกตเห็นไฟถนน ไฟตามหมู่บ้าน ที่ยังคงส่องอยู่

เวลาประมาณ 5.50 ก็จะเริ่มเห็นแสงแดดอ่อนๆ พร้อมกับหมอกจางๆ และอากาศเย็นๆ ให้สูดลมหายใจได้อย่างเต็มปอด





และแล้วพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ โพล่มาทักทายเรื่อยๆ พร้อมถ่ายรูปได้ตลอดเวลา จนสาดส่องสว่างเต็มท้องฟ้า








เมื่อได้สัมผัสกับแสงแดดแล้ว ก็สามารถเดินไปถ่ายรูปได้ทุกจุด และพร้อมเตรียมเดินทางไปยังที่พักเพื่อเก็บของ

เช่นเคยครับ เราก็ยังสามารถจ้างลูกหาบยกสัมภาระลงเขาได้เช่นกัน ขึ้นตอนก็เหมือนเดิมครับ ซื้อแท็ก ชั่งน้ำหนัก และรอรับของด้านล่าง

(สำหรับแท็กนั้นตอนขาขึ้นจะเป็นบัตรสีฟ้า ขาลงเป็นบัตรสีขาว)

สำหรับตอนขาลงนั้นหลายคนอาจจะคิดว่าง่ายกว่าตอนขึ้นมา แต่สำหรับผมแล้วยากกว่าด้วยซ้ำ เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นไหล และตอนเหยียบลงใช่แรงกดมากกว่าตอนขึ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บที่นิ้วเท้าได้

ในช่วงที่ระหว่างลงนั้นเราก็ได้เห็นลูกหาบแบกของเราลงไปด้วย รู้สึกได้เลยว่าลูกหาบเดินเร็วกว่าพวกผมสะอีก




และเมื่อเราลงไปยังด้านล่างเวลาประมาณบ่ายสามก็รอรับสัมภาระ พร้อมจ่ายค่ากระเป๋าให้กับลูกหาบได้ในทันที

ที่บริเวณด้านล่างหากใครรู้สึกว่าเหนียวตัวและอยากอาบน้ำก็มีห้องอาบน้ำคอยบริการให้ครับ

ขากลับนั้นเราก็สามารถขึ้นรถสองแถวเพื่อไปยังร้านเจ๊กิม และรอรอทัวร์กลับได้เหมือนเดิมครับ


ในช่วง 3 วัน 2 คืนที่ผ่านมา ที่ภูกระดึง ครั้งนี้ถือว่าเป็นการขึ้นเขาครั้งแรกของผมเลย รู้สึกคุ้มค่ามากกับการได้มาพจญภัยครั้งนี้ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ อากาศเย็นๆ ได้พูดคุยกับคนที่ไม่รู้จัก รู้สึกอยากจะเที่ยวแนวๆ นี้เพิ่มขึ้นสะแล้ว อย่างไรก็ตามครับหากใครที่ไม่เคยมา แนะนำเลยว่าต้องลองมาสัมผัสจะครั้งครับ แล้วจะรู้ว่าของดีดียังมีอยู่ที่ประเทศไทยอีกมากมาย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น